เปรียบเทียบ FCL vs LCL เลือกส่งของไปต่างประเทศ แบบไหนคุ้มค่าและดีกว่า

ส่งของไปต่างประเทศ

ส่งของไปต่างประเทศด้วยการขนส่งทางเรือยังคงเป็นตัวเลือกหลักของหลายธุรกิจ เพราะทั้งประหยัดและคุ้มค่ามากกว่า แต่ก็มักตามมาด้วยคำถามที่ว่า จะเลือกแบบไหนดีระหว่าง FCL กับ LCL เพราะมีผลทั้งเรื่องต้นทุน เวลา และความเสี่ยงของสินค้า ซึ่งถ้าเลือกผิดก็อาจจ่ายแพงเกินจำเป็น หรือของส่งถึงปลายทางช้ากว่าที่คิดได้เหมือนกัน

บทความนี้จะมาช่วยไขข้อข้องใจทั้งหมดแบบเจาะลึก ตั้งแต่หลักการพื้นฐานไปจนถึงจุดตัดสินใจว่า สินค้าของคุณควรใช้บริการส่งของต่างประเทศ แบบไหนที่ตอบโจทย์และคุ้มค่ากับธุรกิจได้มากที่สุด เพื่อให้คุณพร้อมลุยตลาดโลกได้อย่างมั่นใจ

FCL กับ LCL คืออะไร? ทำความเข้าใจก่อน ส่งของไปต่างประเทศ

ก่อนตัดสินใจว่าจะเลือกแบบไหนส่งของไปต่างประเทศ เราขอพามาทำความรู้จักทั้งสองรูปแบบของการส่งของต่างประเทศกันก่อน

FCL (Full Container Load) คืออะไร เหมาะกับสินค้าแบบไหน

FCL (Full Container Load) คือการขนส่งแบบ ‘เช่าตู้คอนเทนเนอร์ทั้งตู้’ ไม่ว่าสินค้าของคุณจะเต็มตู้หรือไม่ก็ตาม เหมาะสำหรับผู้ส่งออกที่มีปริมาณสินค้าจำนวนมาก ต้องการความเป็นส่วนตัวสูง หรือสินค้าที่มีความเสี่ยงสูง เช่น สินค้าที่แตกหักง่าย หรือสินค้าอันตราย เพราะสินค้าจะถูกปิดผนึกอยู่ในตู้ของคุณเพียงผู้เดียวตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง

LCL (Less than Container Load) คืออะไร ข้อดีสำหรับ SME

LCL (Less than Container Load) คือการขนส่งที่ ‘แชร์พื้นที่ในตู้คอนเทนเนอร์’ ร่วมกับผู้ส่งรายอื่น จึงคุ้มค่าที่สุดสำหรับธุรกิจ SMEs ที่มีสินค้าปริมาณน้อยกว่า 15 ลูกบาศก์เมตร (CBM) เพราะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการเหมาตู้ทั้งใบ

เปรียบเทียบความแตกต่าง FCL และ LCL แบบเจาะลึก

มาดูกันต่อว่า แล้วในการส่งของไปต่างประเทศระหว่าง FCL กับ LCL แบบไหนเหมาะกับการส่งของต่างประเทศของคุณมากกว่ากัน

ด้านต้นทุน: เมื่อไหร่ FCL ถึงคุ้มค่ากว่า LCL

สำหรับสินค้าปริมาณน้อย LCL ย่อมประหยัดกว่า แต่ LCL จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่ซ่อนอยู่ เช่น ค่าบรรจุสินค้ารวมตู้ (Consolidation) และค่าแยกสินค้า (De-consolidation) ซึ่งเมื่อปริมาณสินค้าขยับตั้งแต่ 15-18 CBM ขึ้นไป ค่าใช้จ่ายต่อหน่วยของการขนส่งแบบ FCL จะเริ่มถูกกว่า LCL อย่างชัดเจน

ด้านระยะเวลาขนส่ง: ใครเร็วกว่า และเพราะอะไร

FCL ชนะขาดในเรื่องความเร็ว เพราะตู้สินค้าสามารถออกเดินทางได้ทันที โดยไม่ต้องเสียเวลารวมและแยกสินค้าที่ท่าเรือปลายทาง ในขณะที่ LCL ต้องรอจนกว่าสินค้าภายในตู้จะครบจำนวนก่อนปิดตู้ส่งออก ทำให้ใช้เวลารวมเพิ่มขึ้นมากกว่า LCL

ด้านความเสี่ยงและความเสียหายของสินค้า

FCL มีความเสี่ยงต่อความเสียหายจากการขนย้ายน้อยกว่า เพราะสินค้าถูกบรรจุและปิดผนึกตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง ส่วน LCL มีโอกาสที่สินค้าจะถูกเคลื่อนย้ายหลายครั้งระหว่างกระบวนการรวมตู้และแยกตู้ ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการกระแทกหรือสูญหายได้

เกณฑ์

เกณฑ์ในการตัดสินใจเลือกการขนส่งที่เหมาะสมที่สุด

ไม่ว่าจะเลือก FCL หรือ LCL เมื่อจะส่งของไปต่างประเทศขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยทั้งปริมาณ ความเร่งด่วน และงบประมาณ นี่คือเกณฑ์ในการตัดสินใจส่งของต่างประเทศที่จะช่วยให้คุณเลือกได้เหมาะสมที่สุด

วิธีคำนวณปริมาณสินค้าที่ต้องใช้ FCL

วิธีคำนวณปริมาณสินค้าที่ง่ายที่สุดคือการหาหน่วย Cubic Meter (CBM) โดยใช้สูตร

CBM = (กว้าง x ยาว x สูง) / 1,000,000

โดยทั่วไป ตู้ 20 ฟุต มีความจุประมาณ 33 CBM และตู้ 40 ฟุต มีความจุประมาณ 67 CBM ถ้าสินค้ารวมแล้วอยู่ใกล้ 15 CBM ขึ้นไป ควรเลือกใช้ FCL เพราะค่าใช้จ่ายต่อหน่วยจะเริ่มคุ้มมากกว่า

ปัจจัยด้านความเร่งด่วนและปริมาณสินค้าในการ ส่งของไปต่างประเทศ

ปัจจัยหลัก ๆ ในการส่งของต่างประเทศคือความเร่งด่วน ถ้าคุณต้องการความเร่งด่วน ควบคุมตารางเวลาได้เอง และมีสินค้าปริมาณมาก FCL คือคำตอบ แต่ถ้าคุณมีสินค้าปริมาณน้อย มีเวลาเหลือเฟือ และต้องการประหยัดงบประมาณ LCL เหมาะสมกว่า ความยืดหยุ่นและเวลาจึงเป็นตัวแปรสำคัญที่คุณต้องชั่งน้ำหนักให้ดี

สรุป

ระหว่าง FCL และ LCL ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัวในเลือกส่งของต่างประเทศ แต่ขึ้นอยู่กับปริมาณสินค้า งบประมาณ และความเร่งด่วน หากยังไม่แน่ใจว่าแบบไหนคุ้มค่ากับธุรกิจของคุณที่สุด ให้  Freight Rangers ผู้เชี่ยวชาญด้านการขนส่งช่วยให้คุณวางแผนได้อย่างเหมาะสม มั่นใจได้ว่าการส่งของไปต่างประเทศของคุณจะทั้งเร็ว คุ้มค่า และปลอดภัยแน่นอน

Scroll to Top